สมัครสมาชิก

thaigrowth.hyperhub.net
homeinfotest assessmentcontact


ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน

โรคขาดโปรตีนและพลังงาน

โรคขาดโปรตีนและพลังงาน เป็นโรคขาดสารอาหารชนิดหนึ่งที่เกิดจากร่างกายได้รับพลังงานและโปรตีนไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก เช่น เตี้ย ผอม น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ และ สติปัญญาของเด็กโรคขาดโปรตีนและพลังงาน มักพบในชนบท โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร มีสาเหตุสำคัญ คือ ขาดความรู้ เช่น เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งน้ำนมแม่เป็นอาหาร ที่ดีที่สุดของทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน เนื่องจากมีสารอาหารครบถ้วน เหมาะสมกับเด็ก มีภูมิคุ้มกันโรค เด็กที่ได้รับนมแม่ จะฉลาดกว่า เจ็บป่วยน้อยกว่าเด็กที่ได้รับนมผง แม้ว่านมผงจะมีการปรับเปลี่ยนปริมาณสารอาหารให้ใกล้เคียงกับนมแม่ แต่ยังไม่เหมาะสมกับเด็ก และการผสมนมผงที่ไม่ได้ตามสัดส่วนที่กำหนด หรือไม่มีความสะอาด อาจเกิดท้องร่วง เป็นผลให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตความยากจนครอบครัวที่ยากจนหรือมีสมาชิกในครอบครัวมาก ย่อมประสบปัญหาการได้รับอาหารที่ไม่เพียงพอและคุณภาพไม่ดี น้ำนมแม่ในครอบครัวที่ยากจนมักไม่ค่อยมีคุณภาพเพียงพอต่อทารก เนื่องจากสุขภาพของแม่ขณะตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์

นอกจากนั้น แม่ที่ขาดอาหารขณะตั้งครรภ์ จะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ทั้งทางสมองและร่างกาย มีโอกาสที่เด็กเกิดมาน้ำหนักน้อย (น้ำหนักต่ำกว่า 2500 กรัม) เด็กกลุ่มนี้ มักจะเจ็บป่วยบ่อย เติบโตช้า สติปัญญาต่ำ การเลี้ยงดูเด็กในช่วง 2 ปีแรกของชีวิตถือเป็นช่วงวิกฤตต่อการขาดสารอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในภายหลัง เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาสมองมาก หากมีการขาดอาหารในช่วงนี้สมองที่เสียไปยากที่จะกลับสู่ปกติเมื่อเด็กโตขึ้น ดังนั้น การดูแลในเรื่องอาหารในช่วง 2 ปีแรกของชีวิตเป็นผลสำคัญต่อสมองและการเจริญเติบโตของเด็กก่อนวัยเรียน

วิธีการค้นหาเด็กที่ขาดโปรตีนและพลังงาน

เนื่องจากการขาดโปรตีนและพลังงาน มักมีการขาดสารอาหารชนิดอื่นๆร่วมด้วย จึงมีความจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวัง และจัดการแก้ไขให้เด็กมีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้น วิธีการง่ายๆ ใช้กันอยู่ คือ การชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง ทำให้ทราบว่ามีการเจริญเติบโตเป็นอย่างไร

ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก

มี 3 ตัวชี้วัด คือ

น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ

น้ำหนักเป็นผลรวมของกล้ามเนื้อ ไขมัน น้ำและกระดูก น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เป็นดัชนีบ่งชี้ถึงความสัมพันธุ์ ของการเจริญเติบโตของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามอายุของเด็ก เป็นดัชนีที่นิยมใช้แพร่หลายในการประเมิน ภาวะการขาดโปรตีนและพลังงาน และภาวะโภชนาการเกินสำหรับเด็กเล็กซึ่งมีความลำบากในการวัดความยาว การขาดอาหารในระยะแรกนั้น น้ำหนักจะลดลงก่อนที่จะเกิดการชะงักการเพิ่มส่วนสูง

ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ

ความยาวหรือส่วนสูงที่สัมพันธ์กับอายุเป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะโภชนาการที่เกิด ขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานในอดีต ถ้าเด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอเป็นเวลานาน (ซึ่งความพร่องของส่วนสูงนี้เริ่มได้ตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา) และหรือมีการเจ็บป่วยบ่อยๆ มีผลให้อัตราการเจริญเติบโตของโครงสร้างของกระดูกเป็นไปอย่างเชื่องช้าหรือ ชะงักงัน ทำให้เป็นเด็กตัวเตี้ย (Stunting) กว่าเด็กที่เป็นเกณฑ์อ้างอิงซึ่งมีอายุุเดียวกัน ดังนั้นส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ จึงเป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะการขาดโปรตีนและพลังงาน แบบเรื้อรังมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีความพร่องของการเจริญเติบโต ด้านโครงสร้างส่วนสูงทีละเล็กละน้อย ถ้าไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขก็จะสะสมความพร่องจนตกเกณฑ์ ดังนั้น อัตราของเด็กตัวเตี้ยจะเริ่มประกฎชัดและมากขึ้นในช่วงอายุ 2-3 ปีขึ้นไป

น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง

เนื่องจากน้ำหนักเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วกว่าส่วนสูง ถ้าเด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอจะมีน้ำหนักลดลง มีภาวะผอม (wasting) ดังนั้น น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงจึงเป็นดัชนีบ่งช้ที่ไวในการสะท้อนภาวะโภชนาการใน ปัจจุบันที่ใช้ประเมินภาวะโภชนาการได้ แม้ไม่ทราบอายุที่แท้จริง และอิทธิพลจากเชื้อชาติมีผลกระทบน้อย ภาวะซูบผอมจะเริ่มพบได้มากที่สุดในระยะหลังหย่านม (12-24 เดือน) หากการเตรียมอาหารเสริมที่จะใช้ในช่วงปรับเปลี่ยนลักษณะอาหารจากของเหลว คือ นม มาสู่อาหารปกติ ในช่วงระยะดังกล่าวไม่เหมาะสมตามวัย และเป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะโภชนาการเกิน (ภาวะอ้วน) ที่ใช้กันอยู่ในสากล

โดย ในเด็กอายุ 0-2 ปี จะเป็นการนอนวัดความสูง เรียกว่า วัดความยาว และ ในเด็กอายุมากกว่า 2 ปี จะเป็นการยืนวัดความสูงเรียกว่า วัดส่วนสูง เมื่อชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูงแล้ว นำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของกรมอนามัย

การชั่ง-วัด

การชั่งน้ำหนัก


เครื่องชั่งน้ำหนักเด็กเล็ก ควรมีตัวเลขที่ละเอียดถึง 100 กรัม หรือแบ่งย่อยเป็น 10 ขีดใน 1 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กวัยเรียน อาจมีความละเอียด 500 กรัมหรือ 2 ขีดใน 1 กิโลกรัม และก่อนชั่งน้ำหนักเด็ก ควรตั้งค่าเครื่องชั่งให้อยู่ที่เลขศูนย์และทดสอบมาตรฐาน เครื่องชั่งโดยการนำลูกตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน หรือสิ่งของที่รู้น้ำหนักมาวางบนเครื่องชั่ง เพื่อ ดูว่าน้ำหนักได้ตามน้ำหนักลูกตุ้มหรือสิ่งของนั้นหรือไม่ จุดประสงค์ของการชั่งน้ำหนัก ต้องการบันทึกน้ำหนักตัวของเด็กที่แท้จริง ดังนั้น จึงควรให้เด็กใส่เสื้อผ้าน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ให้เด็กถือสิ่งของอื่นใด 

โดยมีข้อแนะนำในการชั่งน้ำหนักเด็ก ดังนี้
1. ควรชั่งน้ำหนักเด็กก่อนรับประทานอาหาร
2. ควรถอดเสื้อผ้าที่หนาๆ ออกให้เหลือเท่าที่จำเป็น รวมทั้งรองเท้า ถุงเท้า ของเล่น
3. ควรใช้เครื่องชั่งเดิมทุกครั้งในการติดตามการเจริญเติบโต
4. ถ้าเป็นเครื่องชั่งแบบยืน เวลาอ่านน้ำหนักผู้ที่ทำการชั่งน้ำหนักจะต้องอยู่ในตำแหน่งตรงกันข้ามกับเด็ก ไม่ควรอยู่ด้านข้าง เพราะจะทำให้อ่านผิดพลาดได้ อ่านค่าให้ละเอียดถึง 0.1 กิโลกรัม เช่น 9.3 กิโลกรัม

การวัดส่วนสูง


วัตถุประสงค์ของการวัดส่วนสูงก็เช่นเดียวกันกับการชั่งน้ำหนัก เพื่อต้องการทราบส่วนสูงที่แท้จริงของเด็ก ดังนั้นในการวัดส่วนสูง จึงต้องมีการจัดการเพื่อให้ได้ส่วนสูงที่แท้จริงดังนี้ 

เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี การวัดเด็กให้อยู่ในท่านอนเรียกว่า วัดความยาว ซึ่งควรมีผู้วัด 2 คน โดยคนหนึ่งดูแลด้านศีรษะและลำตัวให้ตรง ส่วนอีกคนหนี่งดูแลเข่าให้เหยียดตรง และเคลื่อนไม้ฉากเข้าหาฝ่าเท้าอย่างรวดเร็ว วิธีการมีดังนี้
1. ถอดหมวก รองเท้าออก
2. นอนในท่าขาและเข่าเหยียดตรง ส่วนศีรษะชิดกับไม้วัดที่ตั้งฉากอยู่กับที่
3. เลื่อนไม้วัดส่วนที่ใกล้เท้าให้มาชิดกับปลายเท้าและส้นเท้าที่ตั้งฉากกับพื้น
4. อ่านค่าให้ละเอียดถึง 0.1 เซนติเมตร 

เด็กอายุมากกว่า 2 ปี การวัดเด็กให้อยู่ในท่ายืน เรียกว่า วัดความสูงหรือส่วนสูงมีวิธีการดังนี้
1. ถอดรองเท้า ยืนบนพื้นราบ เท้าชิด
2. ยืดตัวขึ้นไปข้างบนให้เต็มที่ไม่งอเข่า
3. ส้นเท้า หลัง ก้น ไหล่ ศีรษะสัมผัสกับไม้วัด
4. ตามองตรงไปข้างหน้า
5. ผู้วัดประคองหน้าให้ตรง ไม่ให้แหงนหน้าขึ้น หรือก้มหน้าลง
6. เลื่อนไม้ที่ใช้วัดให้สัมผัสกับศีรษะพอดี
7. อ่านค่าส่วนสูงให้ละเอียดถึง0.1เซนติเมตร

 

อาหารสำหรับเด็กวัยต่างๆ ตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 18 ปี

ทารกแรกเกิด 0-4 เดือน
อาหาร : น้ำนมแม่เพียงอย่างเดียว

ทารก 4 เดือน
อาหาร : ข้าวบด 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำแกงจืดกับไข่ต้มสุก 1 ใน 4 ฟอง สลับกับกล้วยน้ำว้าสุกงอมบด

เด็กอายุ 5 เดือน
อาหาร : ข้าวบด 2-4 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำแกงจืดกับเนื้อปลาสุกบด สลับกับไข่แดงต้มสุก 1 ฟอง

เด็กอายุ 6 เดือน
อาหาร : ข้าวบด 4-6 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำแกงจืดใส่ผักสุกบดกับเนื้อปลาสุก สลับกับไข่แดง 1 ฟอง ผลไม้สุกบด หรือถั่วต้มสุกบด 3 ช้อนโต๊ะ กินแทนนมแม่ได้ 1 มื้อ

เด็กอายุ 7 เดือน
อาหาร : ข้าวบดผสมน้ำแกงจืดกับเนื้อสัตว์บด หรือตับบดใส่ผักสุกบด สลับกับไข่ต้มสุกบดหรือเนื้อปลาสุกบด ผลไม้สุก

เด็กอายุ 8 - 10 เดือน
อาหาร : กินเช่นเดียวกับอายุ 7 เดือน กินอาหารแทนนมแม่ได้ 2 มื้อ

เด็กอายุ 11 - 12 เดือน
อาหาร : กินเช่นเดียวกับอายุ 8-10 เดือน กินอาหารแทนนมแม่ได้ 3 มื้อ

ตัวอย่างอาหารสำหรับเด็กวัยต่างๆ ใน 1 วัน

เด็กอายุ 1 - 5 ปี

ดื่มนมวันละ 2 ถ้วย ไข่ไก่ หรือ ไข่เป็ด ควรกินแบบสุก 1 ฟอง เนื้อสัตว์สุก 3 - 4 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 60 ก. ข้าวสวย 1 - 2 ถ้วย* หุงแบบไม่เช็ดน้ำหรือนึ่ง ผัก 0.5 – 1 ถ้วย* กินผักใบเขียว และผักอื่นๆ ด้วยทุกมื้อ ผลไม้ มื้อละ 0.5 - 1 ผล ( ผลไม้สดตามฤดูกาล หรือน้ำผลไม้คั้น ) ไขมันหรือน้ำมัน 2 ช้อนชา ควรกินน้ำมันพืชมากกว่าน้ำมันสัตว์

เด็กอายุ 6 - 12 ปี

ดื่มนมวันละ นม 3 ถ้วย ไข่ 1 ฟอง ( ไข่ไก่หรือไข่เป็ด ควรกินไข่สุกเพราะย่อยง่าย ) เนื้อสัตว์สุก 5 - 6 ช้อนโต๊ะ หรือ ประมาณ 90 ก. กินอาหารทะเลและตับเครื่องในสัตว์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ข้าวสวย 3 - 4 ถ้วย หุงแบบไม่เช็ดน้ำหรือนึ่ง ผักใบเขียว และผักอื่น ๆ 1 - 1.5 ถ้วย ผลไม้ มื้อละ 0.5 - 1 ผล ( ผลไม้สดตามฤดูกาล หรือน้ำผลไม้คั้น ) ไขมันหรือน้ำมัน 3 ช้อนชา ควรกินน้ำมันพืชมากกว่าน้ำมันสัตว์

เด็กอายุ 13 - 18 ปี

ดื่มนมสด หรือนมผสม วันละ 3 ถ้วย ไข่ไก่ หรือ ไข่เป็ดสุก 1 ฟอง เนื้อสัตว์สุก 7 - 8 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 120 ก. กินอาหารทะเลและตับเครื่องในสัตว์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ข้าวสวยหุงแบบไม่เช็คน้ำหรือนึ่ง 4 - 5 ถ้วย
ผักใบเขียว และผักอื่นๆด้วยทุกมื้อ 1 - 2 ถ้วย ผลไม้สดตามฤดูกาล หรือน้ำผลคั้น มื้อละ 0.5 - 1 ผล ไขมัน หรือน้ำมันพืช 4 ช้อนชา

หมายเหตุ

* 1 ถ้วย = 16 ช้อนโต๊ะ
** ถ้าไม่ได้กินนมหรือไข่ ควรกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 - 3 เท่า

ที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปี 2543

 

สารอาหารที่ร่างกายต้องการ

  • โปรตีน
  • คาร์โบไฮเดรต
  • ไขมัน
  • ผักและผลไม้
  • แร่ธาตุ
  • น้ำ

โปรตีน

  • น้ำนม ไข่ เนื้อสัตว์รวมทั้งปลา
  • พืชตระกูลถั่วและธัญญพืช
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกระดูก ฟัน
  • วิตามิน B, ธาตุเหล็ก

คาร์โบไฮเดรต

  • แป้งและน้ำตาล
  • ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว *ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท
  • น้ำตาล ขนมหวาน ชอคโกแลต
  • ผลไม้ที่ออกรสหวาน
  • ให้พลังงานอย่างรวดเร็ว เพราะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารประเภทอื่น
  • ส่วนเกินจะไปสะสมทำให้ อ้วน

ไขมัน

  • ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันงา น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันปาล์ม
  • ช่วยเพิ่มระดับ HDL
  • ช่วยในการดูดซึมวิตามิน A, D, E, K และเบต้าแคโรทีน
  • ตา ผม ฟัน กระดูก กล้ามเนื้อ และระบบประสาท
  • ในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ไม่ควรจำกัดไขมัน เนื่องจากจำเป็นในการพัฒนาของสมอง

ผัก & ผลไม้

  • วิตามิน A, C
  • แร่ธาตุ (โพแทสเซียม)
  • เส้นใย

วิตามิน A และ C

ตัวอย่างผลไม้ที่มีวิตามิน A และ C

  • ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
  • กล้วย ส้ม มะเขือเทศ แอปเปิ้ล มะละกอ

ธาตุเหล็ก

ตัวอย่างอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก

  • นมแม่
  • ถั่ว เต้าหู้
  • ไข่แดง เนื้อสัตว์ต่างๆ ตับ ปลา
  • ผักเขียว บรอคโคลี ผักโขม ตำลึง ผักบุ้ง มันฝรั่ง
  • หอยนางรม กุ้ง ทูน่า ซาดีน แซลมอน
  • น้ำลูกพรุน ลูกพรุน

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ